ทุกคนคงเคยได้ยินคำที่เขาว่า “ความสำเร็จ มักเกิดขึ้นกับคนที่รู้จักรอคอยได้” ซึ่งก็เป็นความจริง ไม่ว่าจะในเรื่องใดก็ตาม “การลงทุนระยะยาว” ก็เหมือนกับการที่เราปลูกต้นไม้ ที่ต้องใช้เวลา ความอดทน และการดูแลเอาใจใส่อย่างต่อเนื่อง แล้วท้ายที่สุด ต้นไม้ก็จะเติบโตอย่างแข็งแรงและออกผลให้เก็บเกี่ยว
แต่คราวนี้เราจะรู้ได้อย่างไรว่า การลงทุนแบบใดเหมาะกับเราที่สุด เพราะมีตัวเลือกมากมายให้เลือก สำหรับท่านที่ไม่รู้ว่าจะตัดสินใจเลือกอย่างไร ในบทความนี้ เราจะพูดถึงประเภทของการลงทุนระยะยาวที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ว่าแตกต่างกันอย่างไร ซึ่งจะทำให้คุณตัดสินใจเลือกลงทุนได้ดียิ่งขึ้น
การลงทุนระยะยาว คืออะไร?
การลงทุนระยะยาว หมายถึง การนำเงินของเราไปลงทุนในสินทรัพย์ประเภทหนึ่ง โดยคาดหวังว่ามูลค่าของเงินจะเติบโตขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป โดยทั่วไปคือเวลามากกว่า 5-10 ปีหรือมากกว่านั้นก็ได้
การลงทุนระยะยาว จะต้องใช้ทั้งความอดทนและความมุ่งมั่น เนื่องจากเป้าหมายคือการได้รับผลตอบแทนที่มากพอสมควรในช่วงเวลาที่ยาวนานกว่า แทนที่จะมุ่งหวังผลกำไรอย่างรวดเร็วในระยะเวลาสั้นๆ
ความจริงแล้วการลงทุนระยะยาว ก็เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ได้รับความนิยมจากนักลงทุน เนื่องจากผลประโยชน์ที่ได้รับ ได้แก่ ดอกเบี้ยทบต้นซึ่งมักจะเปลี่ยนเงินที่เราลงทุนเพียงเล็กน้อยให้กลายเป็นเงินก้อนใหญ่
นอกจากนี้ การลงทุนระยะยาวยังช่วยรับมือกับความผันผวนของตลาดได้อีกด้วย ซึ่งตลาดการเงินจะมีช่วงขาขึ้นและขาลงเป็นธรรมดา แต่เมื่อเราเลือกลงทุนระยะยาว เราก็สามารถรับมือกับความผันผวนในระยะสั้นได้ และได้รับประโยชน์จากแนวโน้มขาขึ้นของตลาดในอนาคต
ประเภทของการลงทุนระยะยาว
ตัวเลือกการลงทุนระยะยาว มีหลายตัวเลือกให้ลงทุน นักลงทุนจะต้องเลือกลงทุนในตัวเลือกที่คิดว่าเราสามารถรับความเสี่ยงได้ดีที่สุด มีตัวเลือกไหนบ้างที่น่าสนใจ
1. หุ้น
- การลงทุนในหุ้น คือ การที่เราเข้าไปซื้อหุ้นหรือการเป็นเจ้าของหุ้นบางส่วนของบริษัท เมื่อเราซื้อหุ้นของบริษัทใดก็ตาม เราก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทนั้นๆ มีส่วนได้ส่วนเสียด้วย
- มูลค่าของหุ้นที่ซื้อขายกันในตลาด อาจเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา โดยขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น ผลประกอบการของบริษัท สภาพเศรษฐกิจ และการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
- การลงทุนในหุ้น เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการรับมือกับความผันผวนของตลาดในระยะสั้นเพื่อรับผลตอบแทนที่คุ้มค่าในระยะยาว
- การลงทุนในหุ้นอาจได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า แต่ก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน ดังนั้น นักลงทุนควรทำความเข้าใจบริษัทที่อยากลงทุนให้ดีและรอบคอบที่สุดก่อน
- เนื่องจากการลงทุนในหุ้นมีความเสี่ยง เพราะฉะนั้นนักลงทุนควรปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินก่อนก่อนตัดสินใจลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนที่เป็นมือใหม่
2. พันธบัตร
- พันธบัตร เป็นตราสารหนี้ชนิดหนึ่งที่ออกโดยรัฐบาลหรือรัฐวิสาหกิจ พันธบัตรจะจ่ายผลตอบแทนคงที่ในรูปแบบของดอกเบี้ย เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการความมั่นคงและรายได้ประจำ
- การลงทุนในพันธบัตร นักลงทุนที่ซื้อพันธบัตรจะเป็นผู้ให้เงินกู้ (เจ้าหนี้) แก่ผู้ออกพันธบัตรคือรัฐบาล (ลูกหนี้) เป็นระยะเวลาหนึ่งโดยมีอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดไว้ประมาณปีละ 3%
- ราคาพันธบัตรในตลาดอาจผันผวนได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย สภาวะเศรษฐกิจ ราคาพันธบัตรอาจสูงหรือต่ำกว่ามูลค่าที่กำหนดไว้ก็ได้
- การลงทุนในพันธบัตร เหมาะกับนักลงทุนที่ไม่ชอบความเสี่ยงสูงและสามารถการันตีได้แน่นอนในเรื่องของผลตอบแทนที่จะได้รับ
3. กองทุนรวม
- กองทุนรวม คือการนำเงินที่รวบรวมได้จากนักลงทุน เอาไปให้ผู้ที่มีความสามารถในการลงทุนไปจัดการแทน หรือที่เรียกว่า “ผู้จัดการกองทุน” ที่สามารถกระจายพอร์ตการลงทุนและจัดการความเสี่ยงได้ เช่น ลงทุนในหุ้น พันธบัตร เป็นต้น
- ผู้จัดการกองทุนมืออาชีพ จะจัดการพอร์ตกองทุนรวมตามวัตถุประสงค์การลงทุนที่กำหนดไว้ล่วงหน้า และกำไรหรือขาดทุนจากการลงทุนจะถูกแบ่งปันตามสัดส่วนการเป็นเจ้าของของนักลงทุนแต่ละคน
- การลงทุนในกองทุนรวมเหมาะสำหรับนักลงทุนที่ไม่อยากบริหารจัดการพอร์ตการลงทุนโดยตรง ไม่มีเวลาและไม่มีประสบการณ์ในการลงทุน
- ก่อนที่จะลงทุนในกองทุนรวม สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจวัตถุประสงค์ในการลงทุน ความเสี่ยง และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง และการวิเคราะห์เพื่อเลือกกองทุนรวมที่เหมาะกับการลงทุนของเรา
4. อสังหาริมทรัพย์
- การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์คือ การลงทุนในทรัพย์สินที่มีขนาดใหญ่และไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ เช่น อพาร์ทเมนท์ ที่ดิน บ้านจัดสรร ซึ่งสามารถให้ผลตอบแทนในระยะยาวได้ รวมถึงรายได้จากการเช่าด้วย
- การลงทุนระยะยาวในอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพย์ มีเป้าหมายเพื่อแสวงหากำไรจากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าทรัพย์สินนั้น รวมถึงรายได้จากการเช่า หรือทั้งสองอย่าง
- วัตถุประสงค์ของการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในระยะยาวคือ การได้รับประโยชน์จากมูลค่าทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นตามกาลเวลา
- ทรัพย์สินที่ลงทุนไว้จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหนนั้น ขึ้นอยู่กับทำเลที่ตั้ง โครงสร้างพื้นฐานโดยรอบ และสภาพเศรษฐกิจในช่วงเวลานั้น
- นอกจากนี้ การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ยังสามารถสร้างรายได้ประจำจากการเช่า โดยเจ้าของทรัพย์สินสามารถสร้างรายได้รายเดือนหรือรายปีจากการให้เช่าทรัพย์สินของตนแก่ผู้เช่า
5. โลหะมีค่า
- การลงทุนระยะยาวในโลหะมีค่าหมายถึง การเก็บและถือสินทรัพย์โลหะมีค่า เช่น ทองคำ เงิน แพลตตินัม หรือแพลเลเดียม เป็นระยะเวลาหนึ่ง โดยหวังว่ามูลค่าการลงทุนจะเพิ่มขึ้นในระยะยาว
- โลหะมีค่ามักถูกมองว่าเป็นรูปแบบการลงทุนที่ค่อนข้างมีเสถียรภาพและสามารถใช้เป็นเครื่องป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของสกุลเงินและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจได้
- โลหะมีค่าโดยเฉพาะทองคำ มักถูกมองว่าเป็นรูปแบบหนึ่งของการป้องกันความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ
6.เงินฝากประจำ
- เงินฝากประจำ เป็นรูปแบบหนึ่งของการเก็บออมเงินในบัญชีธนาคารตามเงื่อนไขการฝากเงิน-ถอนเงิน ที่ทางธนาคารกำหนด โดยจะได้รับอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าบัญชีออมทรัพย์ทั่วไป
- บัญชีเงินฝากประจำจะมีทั้งแบบที่ฝากเงินเป็นก้อนครั้งเดียว และฝากเงินเป็นงวดเท่ากันทุกงวด ตามระยะเวลาที่กำหนด
- เมื่อเราฝากเงินหรือออมเงินครบตามเงื่อนไขที่กำหนดแล้ว เราก็จะได้รับอัตราดอกเบี้ยตามที่ได้ระบุไว้ในตอนแรก และสามารถถอนเงินนั้นออกมาได้
- การลงทุนในเงินฝากประจำ เป็นการลงทุนที่ปราศจากความเสี่ยงซึ่งให้ผลตอบแทนที่รับประกันและไม่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนของตลาด แต่อาจจะได้ผลตอบแทนได้ที่ต่ำกว่าตัวเลือกอื่นๆ
ข้อดี-ข้อเสียของการลงทุนระยะยาว
เพื่อให้ทุกท่านได้มองเห็นการลงทุนระยะยาวได้ชัดเจนมากขึ้น เราจะยกตัวอย่างข้อดี-ข้อเสีย มาให้ทุกท่านดูประกอบการตัดสินใจ
ข้อดี
- มีความเรียบง่าย
กลยุทธ์การลงทุนระยะยาวนั้นเข้าใจและตรงไปตรงมา คุณสามารถซื้อสินทรัพย์ชนิดใดก็ได้ที่คุณเชื่อว่าจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป
- ได้ผลตอบแทนแบบทบต้น
การลงทุนเงินของคุณเป็นระยะเวลาที่นานขึ้น จะทำให้คุณได้รับประโยชน์จากพลังของดอกเบี้ยทบต้น ส่งผลให้คุณอาจได้รับกำไรเพิ่มขึ้นอย่างมากในระยะยาว
- มีความเสี่ยงน้อยกว่าการลงทุนระยะสั้น
การลงทุนระยะยาวมีความเสี่ยงน้อยกว่าการลงทุนระยะสั้น เนื่องจากมีเวลาในการเอาชนะความผันผวนของตลาดและภาวะขาลงที่อาจเกิดขึ้นได้มากกว่า
ข้อเสีย
- ข้อจำกัดด้านสภาพคล่อง
เมื่อคุณลงทุนในสินทรัพย์ระยะยาว ก็อาจเป็นเรื่องยากที่จะทำการเปลี่ยนทรัพย์สินนั้นเป็นเงินสด ในกรณีฉุกเฉินหรือมีค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด
- มีความยืดหยุ่นที่จำกัด
การลงทุนระยะยาวต้องอาศัยความอดทน และหากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปหรือคุณต้องการเงินสดอย่างเร่งด่วน คุณอาจพลาดโอกาสในการลงทุนได้
- ผลตอบแทนที่ไม่แน่นอน
แม้ว่าการลงทุนระยะยาวจะให้ผลตอบแทนที่มากพอสมควร แต่สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าผลตอบแทนเหล่านี้ไม่ได้มีการรับประกัน ความผันผวนของตลาดหรือภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอาจส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนในทางลบได้เสมอ
การเลือกการลงทุนระยะยาวที่เหมาะสมกับคุณ
เพื่อสร้างกลยุทธ์การลงทุนระยะยาวที่สอดคล้องกับสถานการณ์ทางการเงินและเป้าหมายของคุณ ต่อไปนี้คือขั้นตอนสำคัญบางประการที่ต้องดำเนินการ:
1.ประเมินความสามารถในการรับความเสี่ยง
- ทำความเข้าใจว่าคุณยอมรับความเสี่ยงได้มากเพียงใด
2.กำหนดเป้าหมายการลงทุน
- ระบุอย่างชัดเจนว่าคุณกำลังลงทุนเพื่ออะไร เช่น เกษียณอายุ ซื้อบ้าน หรืออย่างอื่น ซึ่งเป้าหมายของคุณจะช่วยกำหนดกลยุทธ์การลงทุนของเราด้วย
3.กำหนดกรอบเวลาการลงทุน
- คุณวางแผนที่จะลงทุนเป็นเวลานานแค่ไหน การมีกรอบเวลาที่ชัดเจน จะทำให้การจัดการเรื่องเงินง่ายขึ้น
- 4.กระจายพอร์ตการลงทุน
การกระจายการลงทุนหมายถึง การกระจายการลงทุนของคุณไปยังประเภทสินทรัพย์ต่างๆ เพื่อเป็นการลดและจัดการความเสี่ยงและได้รับผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ
เคล็ดลับการลงทุนระยะยาวที่ประสบความสำเร็จ
สำหรับผู้ที่สนใจเริ่มต้นการลงทุนระยะยาวที่ปลอดภัย อย่าพลาดเคล็ดลับเหล่านี้
1. เข้าใจปัจจัยความเสี่ยง
- ระลึกเอาไว้เสมอว่าการลงทุนทุกประเภทมีความเสี่ยง เพราะฉะนั้นการทำความเข้าใจความเสี่ยงเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญในการตัดสินใจอย่างชาญฉลาด
2. เลือกตัวเลือกที่เหมาะสม
- เลือกตัวเลือกการลงทุนที่เหมาะกับการลงทุนในระยะยาว เช่น หุ้นของบริษัทที่มีศักยภาพเติบโตในระยะยาว จะช่วยให้คุณสามารถเอาชนะความผันผวนของตลาดที่อาจเกิดขึ้นในระยะสั้นได้
3. นำเงินปันผลมาลงทุนใหม่
- หากคุณลงทุนในหุ้นที่จ่ายเงินปันผล ให้พิจารณานำเงินปันผลไปลงทุนซ้ำ วิธีนี้จะช่วยให้คุณใช้ประโยชน์จากดอกเบี้ยทบต้นและเพิ่มศักยภาพในการเติบโตในระยะยาวได้
4. วางแผนทางการเงินอย่างครบถ้วน
- การวางแผนทางการเงินอย่างรอบคอบจะช่วยให้คุณมีสมาธิกับเป้าหมายและหลีกเลี่ยงการตัดสินใจโดยหุนหันพลันแล่น
5. อย่าลังเลที่จะปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
- หากเป็นไปได้ ควรพิจารณาปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน เพราะว่าผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้สามารถช่วยคุณวางแผนกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมกับเป้าหมายและสถานการณ์ทางการเงินของคุณได้
สรุปท้ายบท
ตอนนี้ทุกคนก็คงได้เข้าใจความแตกต่างของการลงทุนในตัวเลือกการลงทุนระยะยาวแต่ละแบบกันไปแล้ว ว่าแตกต่างกันอย่างไรบ้าง เพราะฉะนั้นถ้าท่านมีเป้าหมายที่จะลงทุนในระยะยาว เพื่อเป้าหมายบางอย่างอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการเกษียณอายุ หรือเป้าหมายอื่นๆ สามารถเลือกการลงทุนที่เหมาะกับตัวคุณเองได้เลย ว่าเราถนัดในทรัพย์สินประเภทใด สามารถยอมรับความเสี่ยงได้ระดับไหน
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนที่รู้สึกว่าตัวเองมีประสบการณ์น้อย หรือไม่มีเลย อย่ามองข้ามการขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินการลงทุนก่อน วิธีนี้จะช่วยให้คุณลดความเสี่ยงในการลงทุนได้ และได้ทราบกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะกับตัวเราโดยเฉพาะ ซึ่งจะทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนคุ้มค่ากว่า อาจจะได้มากกว่าที่เราลงทุนเองก็ได้
คำถามที่พบบ่อย
1.ควรลงทุนในระยะยาวเท่าไหร่ดี?
- ข้อนี้ขึ้นอยู่กับเป้าหมายและสถานะทางการเงินของแต่ละท่าน อย่างไรก็ตาม ควรลงทุนอย่างสม่ำเสมอ แม้ว่าจะเริ่มต้นด้วยจำนวนเงินเพียงเล็กน้อยก็ตาม ตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มเงินสมทบเมื่อรายได้ของคุณเติบโตขึ้น
2.เคล็ดลับสำหรับการลงทุนระยะยาวให้ประสบความสำเร็จมีอะไรบ้าง?
เคล็ดลับสำคัญที่อยากแนะนำ
- เริ่มต้นแต่เนิ่นๆ: ยิ่งคุณเริ่มต้นเร็วเท่าไหร่ เงินของคุณก็ยิ่งมีเวลาเติบโตมากขึ้นเท่านั้น
- กระจายความเสี่ยง: กระจายการลงทุนของคุณไปยังประเภทสินทรัพย์ที่แตกต่างกันเพื่อลดความเสี่ยง
- ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ: ความสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญ แม้ว่าจะเป็นจำนวนเงินน้อยก็ตาม
- ปรับแผนใหม่เป็นประจำ: ปรับการจัดสรรสินทรัพย์ของคุณเป็นระยะเพื่อรักษาระดับความเสี่ยงที่คุณต้องการ
- อย่ารีบขาย: หลีกเลี่ยงการตัดสินใจตามอารมณ์แต่ให้อิงตามความผันผวนของตลาด
- ทำการค้นคว้าเพิ่มเติม: ทำความเข้าใจตัวเลือกการลงทุนก่อนที่ตัดสินใจลงทุน
3.การลงทุนระยะยาวมีความเสี่ยงอะไรบ้าง?
- การลงทุนระยะยาวมีความเสี่ยง เช่น ความผันผวนของตลาด ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง ความเสี่ยงเฉพาะบริษัท ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบและการเมือง และความเสี่ยงที่อาจเกิดผลงานต่ำกว่ามาตรฐานของการลงทุน