สิ่งที่นักลงทุนทุกคนไม่ควรพลาดก่อนเริ่มต้นลงทุน คือการตรวจสอบสุขภาพทางการเงินของตนเองก่อน ว่าพร้อมที่จะลงทุนหรือยัง? ไม่ใช้คิดอยากจะลงทุนแล้วก็ทำได้เลย แบบนั้นถือว่ามีความเสี่ยงมาก ถ้ามองข้ามจุดนี้แล้วไปลงทุนเลย โอกาสที่จะประสบปัญหาทางการเงินถือว่าสูงทีเดียว ถือว่าเป็นด่านแรกที่นักลงทุนทุกคนควรให้ความสำคัญ
สำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร ในบทความนี้เราจะพาทุกคนไปสำรวจสุขภาพทางการเงินก่อนเริ่มต้นลงทุน ว่ามีขั้นตอนอย่างไร ถ้าหากทำตามขั้นตอนต่อไปนี้แล้ว การลงทุนของท่านก็จะมีโอกาสสำเร็จ และไม่เสี่ยงประสบปัญหาทางการเงินในภายหลังด้วย
สุขภาพการเงิน คืออะไร
สุขภาพทางการเงิน เป็นสิ่งที่บ่งบอกสถานการณ์การเงินของตัวเราว่าอยู่ในสถานะอะไร มีเพียงพอที่จะใช้จ่ายกับค่าใช้จ่ายต่างๆ หรือไม่ มีเงินเก็บ เงินออมสำรองเพียงพอหรือไม่ มีการลงทุนในทรัพย์สินต่างๆ หรือไม่ และมีการวางแผนจัดการค่าใช้จ่ายอย่างไรบ้าง สิ่งเหล่านี้สามารถบ่งบอกสถานการณ์การเงินได้ทั้งหมด
การตรวจสุขภาพทางการเงิน จึงเป็นการสำรวจความพร้อมด้านการเงินในแต่ละด้าน ว่ามีความพร้อมหรือไม่ ถ้ามีแล้ว ก็จะได้วางแผนในขั้นต่อไป เช่น วางแผนลงทุน แต่หากยังไม่พร้อม ก็จะได้เริ่มต้นตั้งแต่ตอนนี้ เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่อาจต้องใช้เงินในอนาคต
ขั้นตอนในการประเมินสุขภาพทางการเงิน
ในการประเมินสุขภาพทางการเงิน สามารถทำได้ตามขั้นตอนต่อไปนี้ ได้แก่
1. สำรวจทรัพย์สินที่มีอยู่ทั้งหมด
- ขั้นตอนแรกเป็นการสำรวจทรัพย์ที่คุณเป็นผู้ครอบครองอยู่ทั้งหมดก่อน
- ซึ่งการสำรวจนั้นต้องสำรวจทรัพย์สินทุกประเภทและหนี้สินที่มีอยู่ทั้งหมด ดังต่อไปนี้
1.1 ประเภทของสินทรัพย์
- สินทรัพย์หมุนเวียน เช่น เงินที่ฝากไว้ในบัญชีออมทรัพย์ในธนาคาร และเงินสดทั้งหมดที่ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
- สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน เช่น อสังหาริมทรัพย์ เช่น บ้าน อพาร์ทเม้นต์ คอนโด ที่ดิน และ เงินลงทุนระยะยาว
- สินทรัพย์เพื่อการลงทุน เช่น เงินในกองทุน เงินฝากประจำ เงินสำหรับซื้อกองทุน
1.2 ประเภทหนี้สิน
- หนี้สินระยะสั้น เช่น การผ่านสินค้าที่ต้องผ่อนชำระภายใน 1 ปี และหนี้บัตรเครดิต
- หนี้สินระยะยาว เช่น การกู้ยืมเงิน กยศ. สินเชื่อการบ้านหรือรถยนต์
ตอนนี้เราก็ได้ทราบแล้วว่าสินทรัพย์ที่เรามีและหนี้สินที่มีอยู่ทั้งหมดเป็นอย่างไร ต่อไปก็จะเป็นขั้นตอนในการประเมินสุขภาพทางการเงินของเราในการคำนวณหา “ทรัพย์สินที่มีอยู่ปัจจุบัน” และ “ทรัพย์สินที่ควรมี” ซึ่งจะเป็นการคำนวณหาจากสูตรนั้นเอง โดยการใช้สูตร
(สินทรัพย์รวม) – (หนี้สินรวม) = ทรัพย์สินที่มีอยู่ปัจจุบัน
อายุ x รายได้ต่อปี x 10% = ทรัพย์สินที่ควรมี
ตัวอย่างที่ 1 วิธีคำนวณหาทรัพย์สินที่มีอยู่ปัจจุบัน
นายประทีป อายุปัจจุบัน 35 ปี ได้รับเงินเดือน 40,000 บาทต่อเดือน มีสินทรัพย์ทั้งหมดมีมูลค่ารวมกันเป็นเงิน 3,000,000 บาท และมีหนี้สินรวมทั้งหมด 500,000 บาท ดังนั้นทรัพย์สินที่มีอยู่ปัจจุบันของนายประทีป เท่ากับ 2,500,0000 บาท
จากสูตร (สินทรัพย์รวม) – (หนี้สินรวม) = ทรัพย์สินที่มีอยู่ปัจจุบัน
จะได้เท่ากับ (3,000,000 ) – (500,000) = 2,500,000 บาท
ตัวอย่างที่ 2 วิธีคำนวณหาทรัพย์สินที่ควรมี
จากสูตร (อายุ) x (รายได้ต่อปี) x (10%) = ทรัพย์สินที่ควรมี
จะได้เท่ากับ 35 x (40,000 x 12) x (10/100) = 1,680,000 บาท
หลังจากที่เราได้คำนวณหาทรัพย์สินที่มีอยู่ปัจจุบันและทรัพย์สินที่ควรมีแล้ว ก็จะนำมาปรับเทียบกันได้ดังนี้คือ
ทรัพย์สินที่มีอยู่ปัจจุบัน : ทรัพย์สินที่ควรมี = 2,500,000 : 1,680,000
จากการเปรียบเทียบโดย ทรัพย์สินที่มีอยู่ปัจจุบัน : ทรัพย์สินที่ควรมี จะเห็นได้ชัดว่า นายประทีป มีสุขภาพทางการเงินที่ดีเยี่ยม หรือสุขภาพทางการเงินแข็งแรงมาก เพราะมีทรัพย์สินรวมทั้งหมด มากกว่าหนี้สินนั่นเอง
2.ประเมินว่าตอนนี้เรามีหนี้สินมากเกินไปหรือไม่
- เรื่องของหนี้สินเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนต้องมี แต่จะมีมากหรือมีน้อยก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
- หากคุณคิดจะลงทุน การที่มีหนี้สินมากเกินไปนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่นอน ซึ่งหนี้สินที่มีได้นั้น ไม่ควรเกิน 1 ใน 3 ของเงินเดือน
- ฉะนั้นเราจะมาลองคำนวณดูว่า หนี้สินที่มีตอนนี้มีมากเกินไปหรือไม่ สามารถที่จะลงทุนต่อไปได้หรือไม่
- เหตุผลที่เราต้องประเมินหนี้สินที่ต้องชำระในแต่ละเดือน ก็เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาทางการเงินขึ้น โดยเฉพาะในกรณีที่เราลงทุนเพิ่ม
ตัวอย่างที่ 3 วิธีการประเมินหนี้สิน คำนวณโดยการใช้สูตร
(รายได้ต่อเดือน x (1/3) = ภาระหนี้สินต่อเดือน
นายสมพร มีรายได้ต่อเดือน 50,000 บาท มีหนี้สินที่ต้องชำระในแต่ละเดือน 10,000 บาท
เพราะฉะนั้น หนี้สินของนายสมพร จะต้องมีไม่เกิน 1 ใน 3 ของรายได้ทั้งหมดต่อเดือน หรือไม่เกิน 16,666 บาท
50,000 x (1/3) = 16,666 บาท
จากการคำนวณจะเห็นได้ว่า หนี้สินรวมของนายสมพร น้อยกว่า ⅓ แสดงว่า ค่าใช้จ่ายในการชำระหนี้สินของนายสมพรไม่มากเกินไป สามารถลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ได้
3. ประเมินว่าตอนนี้เรามีเงินออมสำรองเพียงพอหรือไม่
- สิ่งหนึ่งที่ต้องมีในการตรวจสอบสุขภาพทางการเงิน ก็คือเงินออมสำรองฉุกเฉิน เพราะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
- ซึ่งเงินส่วนนี้จะเอาไว้ใช้สำหรับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน เช่น การตกงาน การเจ็บป่วยต้องเข้าโรงพยาบาล หรือการซ่อมบ้านซ่อมรถ เป็นต้น สำหรับสูตรการคำนวณหาเงินออมฉุกเฉิน คือ
- เงินออมสำรองฉุกเฉินควรมีสำรองอย่างน้อย 3-6 เดือน ขึ้นไป
(ค่าใช้จ่ายประจำต่อเดือน) x (6(เดือน)) = เงินออมฉุกเฉิน
ตัวอย่างที่ 4 วิธีการคำนวณหาเงินออมสำรองฉุกเฉิน
นาย สมร มีค่าใช้จ่ายต่อเดือนเดือนละ 15,000 บาท ดังนั้นเงินออมสำรองฉุกเฉินที่นายสมรต้องมีคือ เอาค่าใช้จ่ายทั้งหมดคูณด้วย 6 เดือน ก็จะได้เป็นเงินสำรองฉุกเฉิน เท่ากับ
15,000 x 6 = 90,000 บาท
เพราะฉะนั้น นายสมร ต้องเตรียมเงินสำรองฉุกเฉินเอาไว้สำหรับเหตุการณ์ต่างๆ ที่ไม่คาดฝัน เป็นเงินทั้งหมด 90,000 บาท
ในส่วนของการตรวจสุขภาพทางการเงินนั้น ไม่ควรทำเพียงครั้งเดียวแล้วจบ ควรทำบ่อยๆ อย่างน้อย 3-6 เดือนก็ยังดี เพื่อจะได้เตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์การเงินต่างๆ ที่จะมาถึง และเตรียมวางแผนสำหรับแผนการเงินอย่างอื่นต่อไป เช่น การลงทุน
สิ่งที่ควรทำก่อนเริ่มต้นลงทุน
หลังจากที่เราได้ทำการประเมินสุขภาพทางการเงินไปแล้ว ต่อไปก็จะเป็นการเริ่มต้นการลงทุน ซึ่งก่อนที่เราจะลงทุนนั้น มีบางอย่างที่ต้องพิจารณาก่อน โดยเฉพาะเรื่องงบประมาณสำหรับการลงทุน แม้ว่าเราจะมีสุขภาพทางการเงินดีก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเริ่มต้นลงทุนในทันที
เพราะมีบางอย่างที่มีความสำคัญมากกว่าการลงทุนเสียอีก และเป็นสิ่งที่หลายคนมองข้ามไปด้วย ดังนั้นก่อนที่จะเริ่มต้นลงทุน อยากจะให้ทุกท่านได้เริ่มต้นทำสิ่งเหล่านี้ให้ครบถ้วนเสียก่อน แล้วจึงตัดสินใจลงทุนในภายหลัง มีอะไรบ้าง
ขั้นตอน 3 ประการในการเตรียมความพร้อมก่อนเริ่มต้นลงทุนอย่างชาญฉลาด
1.จัดทำงบประมาณและวางแผนการชำระหนี้
- สิ่งแรกที่ต้องทำคือ การจัดทำงบประมาณและชำระหนี้ หากคุณมีหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง เช่น บัตรเครดิต ให้ชำระหนี้เหล่านั้นให้หมดก่อน โดยแบ่งจ่ายให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ในแต่ละเดือน
- ถ้าหากมีหนี้สินอยู่และมีภาระต้องชำระหนี้สินเป็นเงินมากกว่า 1 ใน 3 ของเงินเดือน แสดงว่าคุณยังไม่สามารถลงทุนได้ นอกจากจะชำระหนี้หมดแล้ว
2.เริ่มต้นออมเงินสำรองฉุกเฉิน
- คุณต้องมีเงินสำรองไว้บ้างในกรณีที่เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต ปัญหาสุขภาพ หรือปัญหาอย่างอื่น เช่น การตกงาน
- โดยทั่วไปแล้วควรมีเงินสำรองอย่างน้อย 6 เดือนของรายได้ในแต่ละเดือนเอาไว้สำหรับกรณีฉุกเฉิน
- แม้ว่าคุณจะมีรายได้น้อย ก็คือเริ่มออมเงินฉุกเฉินตั้งแต่วันนนี้ ให้ระลึกเอาไว้เสมอว่า “การเริ่มด้วยเงินจำนวนน้อยย่อมดีกว่าการไม่ทำอะไรเลย”
3.การออมสำหรับเป้าหมายอื่นๆ
- มีรายการอื่นๆ ที่คุณอาจต้องจัดสรรเงินสำรองไว้ในบัญชีออมทรัพย์ เช่น การออมสำหรับวันหยุดพักร้อน เงินที่คุณเก็บออมไว้สำหรับดาวน์รถ เงินดาวน์สำหรับซื้อบ้าน การปรับปรุงบ้าน หรืออย่างอื่น
- บางคนชอบมีบัญชีออมทรัพย์เฉพาะสำหรับรายการเหล่านี้ โดยแยกจากบัญชีออมทรัพย์ฉุกเฉิน
- ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม อย่าลืมจัดสรรเงินสำหรับรายการอื่นๆ เหล่านี้ เพื่อที่คุณจะไม่ต้องใช้เงินลงทุนระยะยาว
เมื่อคุณคำนวณพื้นฐานและกำหนดเป้าหมายทางการเงินทั้ง 3 ข้อเรียบร้อยแล้ว ต่อไปคุณก็สามารถหาจำนวนเงินที่คุณสามารถลงทุนได้ทุกเดือน โดยอาจจะเริ่มต้นออมเงินสำหรับลงทุนเอาไว้โดยเฉพาะเลยก็ได้ ภายหลังจากการออมสำหรับเรื่องสำคัญครบถ้วนแล้ว การเก็บเงินเพื่อลงทุน ควรเป็นสิ่งสำคัญลำดับสุดท้าย
ขั้นตอนการเริ่มต้นลงทุน
หลังจากที่คุณได้ประเมินสุขภาพทางการเงินเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับจัดทำสิ่งที่ต้องทำก่อนลงทุนทั้ง 3 ข้อ และมีเงินออมในการลงทุนครบแล้ว ต่อไปคุณก็เริ่มต้นลงทุนได้เลย โดยขั้นตอนมีดังนี้คือ
1. กำหนดเป้าหมายทางการเงินของคุณ
- กำหนดเป้าหมายที่คุณต้องการสำคัญ ว่าคุณลงทุนเพื่ออะไร? เช่น เพื่อการเกษียณอายุ การศึกษาของลูก หรือการท่องเที่ยวรอบโลก
- การทราบเป้าหมายของคุณจะช่วยกำหนดระดับความเสี่ยงที่เหมาะสมสำหรับการลงทุนของคุณ
2. เข้าใจระดับความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้
- การทราบระดับความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้จะช่วยให้คุณเลือกทางเลือกการลงทุนที่ตรงกับระดับความสบายใจของตนเอง
- การลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง ผลตอบแทนก็จะสูงตามไปด้วย การลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนก็จะต่ำตามไปด้วยเช่นกัน
3.รู้จักตัวเลือกในการลงทุน
พิจารณาดูว่าตัวเลือกการลงทุนอะไร ที่เหมาะสมกับเป้าหมายและระยะเวลาของเรามากที่สุด
3.1 หุ้น
- การซื้อหุ้นจะทำให้เราเป็นเจ้าของบริษัทได้เพียงบางส่วน บริษัทมหาชนออกหุ้นเพื่อระดมเงินสำหรับการขยายกิจการ การเติบโต และการดำเนินงานประจำวัน
- เมื่อราคาหุ้นเพิ่มขึ้น มูลค่าการลงทุนของคุณก็จะเพิ่มขึ้นด้วย บริษัทบางแห่งยังจ่ายเงินปันผล ทำให้คุณได้ส่วนแบ่งกำไรเป็นรายเดือน รายไตรมาส หรือรายปี
- แต่ข้อเสียของหุ้นก็คือ ตลาดมีความผันผวน และบริษัทอาจล้มละลาย ส่งผลให้สูญเสียเงินทุน
3.2 กองทุนรวม
- เป็นตัวเลือกที่ดีเมื่อคุณกำลังเรียนรู้วิธีเริ่มต้นการลงทุนและไม่ต้องการจัดการพอร์ตด้วยตัวเอง
- กองทุนเหล่านี้ดำเนินการโดยผู้จัดการกองทุนที่รวบรวมเงินจากนักลงทุนหลายรายและจัดสรรเงินนั้นไปยังสินทรัพย์หลากหลายประเภท เช่น หุ้น พันธบัตร หรือหลักทรัพย์อื่น ๆ
- ประเภทของกองทุนรวม ได้แก่ กองทุนหุ้น กองทุนพันธบัตร กองทุนตลาดเงิน และกองทุนผสม
- แต่ก่อนที่จะลงทุนในกองทุนรวมคุณควรตรวจสอบวัตถุประสงค์ ค่าธรรมเนียม และผลงานในอดีตของกองทุนเพื่อเลือกกองทุนที่เหมาะกับคุณ
3.3 พันธบัตร
- คือการให้กู้ยืมแก่รัฐบาล ดังนั้นเมื่อคุณซื้อพันธบัตร คุณกำลังให้เงินกู้แก่รัฐบาลในช่วงระยะเวลาหนึ่ง โดยคุณจะได้รับดอกเบี้ยเป็นเปอร์เซ็นต์ในระหว่างช่วงเงินกู้
- และจะได้รับเงินคืนหลังจากระยะเวลาที่กำหนดพันธบัตรไม่ผันผวนด้านราคาเหมือนหุ้น ทำให้ได้รับผลตอบแทนที่ต่ำกว่าในขณะที่โดยทั่วไปมีความเสี่ยงน้อยกว่า
3.4 สินค้าโภคภัณฑ์
- เป็นสินทรัพย์ เช่น ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร เช่น ข้าวสาลี โลหะมีค่า และผลิตภัณฑ์พลังงาน
- การลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์โดยการซื้อผลิตภัณฑ์จริงนั้นเป็นเรื่องที่ยาก ดังนั้น ผู้คนจึงซื้อโดยใช้สัญญาซื้อขายล่วงหน้าและออปชั่น ซึ่งเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง
- ดังนั้น สินค้าโภคภัณฑ์จึงเหมาะที่สุดสำหรับนักลงทุนที่มีความเชี่ยวชาญ
3.5 กองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยน (ETF)
- กองทุนการลงทุนเหล่านี้มีความคล้ายคลึงกับกองทุนรวม เนื่องจากมีการผสมผสานสินทรัพย์ต่างๆ เช่น หุ้น พันธบัตร หรือสินค้าโภคภัณฑ์
- แต่ความแตกต่างก็คือ ETF จะติดตามผลงานของดัชนีหรือกลุ่มกองทุนเฉพาะ เนื่องจากต้องมีการจัดการน้อยกว่ากองทุนรวม ETF จึงคุ้มทุนกว่า
4. กระจายพอร์ตการลงทุนของคุณ:
- อย่าฝากไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าใบเดียว กระจายการลงทุนของคุณไปยังประเภทสินทรัพย์ต่างๆ เช่น หุ้น พันธบัตร และอสังหาริมทรัพย์ เพื่อลดผลกระทบของปัจจัยเสี่ยง
5. ขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ:
- พิจารณาปรึกษาที่ปรึกษาทางการเงินที่สามารถช่วยคุณประเมินสถานการณ์ส่วนบุคคลและสร้างกลยุทธ์การลงทุนส่วนบุคคลตามความสามารถในการรับความเสี่ยงและเป้าหมายของคุณ.
สรุปท้ายบท
ตอนนี้เราก็ได้เข้าใจตรงกันแล้วว่า การเริ่มต้นลงทุน ต้องทำอะไรก่อนอะไรหลัง นั่นก็คือต้องเริ่มด้วยการประเมินสุขภาพทางการเงินของตนเองก่อน ซึ่งเป็นสิ่งที่เราจะละเลยไม่ได้ เพราะหากไม่ประเมิน โอกาสที่จะประปัญหาทางการเงินมีสูงมาก หลังจากที่ประเมินเสร็จแล้ว ก็ให้จัดทำสิ่งที่สำคัญให้ครบถ้วนก่อน แล้วจึงเริ่มต้นลงทุนในขั้นตอนสุดท้าย
เพราะฉะนั้นสำหรับท่านที่กำลังวางแผนลงทุน ลองตรวจสุขภาพการเงินของตัวเองดูก่อนว่า เราพร้อมที่จะลงทุนจริงหรือไม่ ตามขั้นตอนที่เราได้กล่าวไปทั้งหมดข้างต้น เชื่อว่าหากทุกคนทำตามขั้นตอนดังกล่าวอย่างครบถ้วน ท่านจะลงทุนได้อย่างสบายใจ และสามารถรับมือกับปัญหาทางการเงินที่เกิดขึ้นมาได้ด้วย เพราะเราวางแผนเอาไว้อย่างรอบคอบที่สุดแล้ว