ทำความเข้าใจเกี่ยวกับการลงทุนที่จะทำให้คุณประสบความสำเร็จทางการเงิน เชื่อว่าหลายคนคงมองหาแนวทางอยู่ แต่ยังไม่รู้ว่าจะเลือกลงทุนอย่างไรดี ถึงจะสำเร็จตามเป้าที่วางเอาไว้ และการลงทุนทุกวันนี้ก็มีตัวเลือกให้เลือกเยอะ จนไม่รู้ว่าจะเลือกอย่างไรดี
ถ้าคุณยังไม่รู้ว่าจะเลือกลงทุนในสินทรัพย์ประเภทใด บทความนี้สามารถช่วยคุณได้ ทุกท่านจะได้พบกับแนวทางการลงทุนที่ดีที่สุด 15 ประเภท ซึ่งแต่ละประเภทจะแตกต่างกันออกไปทั้งเรื่องของความยากง่าย และความเสี่ยงในการลงทุน เมื่อทุกท่านเข้าใจความแตกต่างเหล่านี้แล้ว ก็จะทำให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น และมีโอกาสประสบความสำเร็จทางการเงิน
อิสรภาพทางการเงิน คืออะไร?
อิสรภาพทางการเงิน หมายถึง การที่เราสามารถตัดสินใจเรื่องต่างๆ ในชีวิตได้โดยไม่ต้องเครียดกับผลกระทบทางการเงินมากเกินไป เพราะว่าเราได้เตรียมพร้อมทางการเงินสำหรับสิ่งต่างๆ ในชีวิตเอาไว้หมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการจัดการหนี้สิน เงินออมในธนาคาร และเงินออมสำหรับการลงทุนเพื่ออนาคต
หรือจะพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ คุณสามารถควบคุมการเงินของคุณได้แทนที่จะถูกควบคุมโดยการเงิน ฉะนั้นเมื่อเรามีอิสระทางการเงิน ก็ไม่ต้องกังวลว่าบัญชีธนาคารจะพอกับการซื้อสิ่งของต่างๆ และต่อให้สถานการณ์ใดๆ เกิดขึ้นในชีวิต ก็ไม่มีความกังวลอีกแล้ว
15 แนวทางในการลงทุนที่ เพื่อมีอิสรภาพทางการเงิน
ต่อไปเรามาดูแนวทางการลงทุนในสินทรัพย์แต่ละประเภทกัน ว่าแตกต่างกันอย่างไร และเราควรเลือกลงทุนกับอะไรดี ถึงจะเหมาะสม และมีโอกาสประสบความสำเร็จทางการเงิน จนมีอิสรภาพทางการเงินในที่สุด
1. หุ้น
- หุ้น ก็คือส่วนหนึ่งของการเป็นเจ้าของในบริษัท เพราะฉะนั้นการซื้อหุ้น ก็คือการที่คุณได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทนั้นๆ
- เมื่อคุณเป็นเจ้าของหุ้นในบริษัท คุณก็จะได้รับผลตอบแทน 2 วิธี คือ เงินปันผลจากผลประกอบการของบริษัท และ การขายหุ้นที่คุณถือครองอยู่ในราคาที่สูงกว่าตอนที่ซื้อ
- ราคาหุ้นของบริษัทมักจะสัมพันธ์กับรายได้ ดังนั้นยิ่งบริษัทมีรายได้มากขึ้นในแต่ละปี ราคาหุ้นก็จะสูงขึ้น
- ถึงแม้ว่าหุ้นจะให้ผลตอบแทนสูง แต่ก็มีความเสี่ยงเช่นกัน บริษัทที่มีศักยภาพมากมายอาจล่มสลายได้เนื่องมาจากสภาวะเศรษฐกิจและสถานการณ์ทางการเมือง
2. พันธบัตร
- พันธบัตรเป็นตราสารหนี้ที่รัฐบาลออกเพื่อระดมเงินทุนสำหรับโครงการต่างๆ เมื่อคุณซื้อพันธบัตร คุณคือผู้ให้เงินกู้แก่ผู้ออกพันธบัตรนั่นเอง
- หลังจากที่มีการซื้อขายพันธบัตร ผู้ออกพันธบัตรจะจ่ายดอกเบี้ยให้กับคุณ และเมื่อพันธบัตรถึงวันครบกำหนด ผู้ออกพันธบัตรจะคืนเงินลงทุนเดิมคืนแก่นักลงทุน
- พันธบัตรมีความเสี่ยงน้อยกว่าหุ้น แต่ก็มีผลตอบแทนที่ต่ำกว่าด้วย หากอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น พันธบัตรก็จะมีมูลค่าลดลง เนื่องจากพันธบัตรใหม่จะมีอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่า
3. ตราสารหนี้
- ตราสารหนี้ เป็นสัญญาระหว่างผู้กู้ (ผู้ออกตราสาร) และผู้ให้กู้ (ผู้ที่ถือครองตราสารหนี้)
- โดยตัวของผู้ที่ซื้อหรือผู้ที่ถือครองตราสารหนี้ จะได้รับผลตอบแทนในรูปแบบของดอกเบี้ย ตามระยะเวลาที่กำหนด และจะได้รับเงินต้นคืน เมื่อครบกำหนดการกู้ยืมตราสารหนี้
- จุดเด่นของการลงทุนในตราสารหนี้คือมีโอกาสที่จะสูญเสียเงินน้อยมาก แต่ก็ยอมรับผลตอบแทนที่ต่ำกว่าการลงทุนประเภทอื่น นอกจากนี้ผลตอบแทนอาจต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อด้วย
ประเภทของตราสารหนี้แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
- ตราสารหนี้ภาครัฐ เป็นตราสารที่ออกโดยรัฐบาลและหน่วยงานของภาครัฐ เช่น ตั๋วเงินคลัง และพันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรออมทรัพย์ พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ และพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย
- ตราสารหนี้ภาคเอกชน เป็นตราสารหนี้ที่ออกโดยบริษัทเอกชน เช่น ตั๋วแลกเงินและหุ้นกู้
4. กองทุนรวม
- กองทุนรวม เป็นการรวบรวมเงินจากนักลงทุนรายย่อยต่างๆ แล้วนำไปลงทุนในหุ้น พันธบัตร และตราสารหนี้ประเภทอื่นๆ
- กองทุนเหล่านี้บริหารจัดการโดยผู้เชี่ยวชาญซึ่งมีความรู้ที่จำเป็นในการคัดเลือกตราสารที่จะเพิ่มผลตอบแทนให้กับนักลงทุนสูงสุด
- การลงทุนในกองทุนรวม เป็นการกระจายความเสี่ยงที่ดีที่สุดในการลดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน ซึ่งช่วยลดโอกาสเกิดหายนะทางการเงินด้วย
- กองทุนรวมช่วยให้ผู้ลงทุนรายย่อยสามารถกระจายความเสี่ยงได้ง่ายขึ้น แทนที่จะต้องเสียเงินซื้อหุ้น 10 ตัว คุณสามารถซื้อกองทุนรวมเพียงกองทุนเดียวและลงทุนในหุ้น 50 ตัวได้
- คุณสามารถสร้างรายได้จากกองทุนรวมได้ 2 วิธีคือ จากเงินปันผล และจากการหายหุ้นในกองทุนรวม
5. กองทุน ETF
- กองทุน ETF (Exchange Traded Fund) เป็นกองทุนที่มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เหมือนกับการซื้อขายหุ้นรายตัว และมีการซื้อขายแบบ Real Time อีกทั้งยังมีการกระจายความเสี่ยงเหมือนกับกองทุนรวมด้วย
- กองทุน ETF มีผู้ดูแลสภาพคล่องของกองทุนให้มีสภาพคล่องอยู่ตลอดเวลา
- การลงทุนในกองทุน ETF ใช้เงินลงทุนน้อย และค่าใช้จ่ายในการซื้อขายก็ต่ำกว่ากองทุนรวมทั่วไป และการจ่ายผลตอบแทนก็ใกล้เคียงกัน
- การซื้อขาย ETF ต้องซื้อขายผ่านบริษัทหลักทรัพย์หรือโบรกเกอร์เท่านั้น เพราะ ETF เป็นกองทุนที่จดทะเบียนการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เพราะฉะนั้นจึงมีการซื้อขายเหมือนกับหุ้นตัวหนึ่ง
- สำหรับความเสี่ยงของ ETF ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงของราคาทรัพย์สินอ้างอิงที่ ETF ลงทุนด้วย ดังนั้นเมื่อมูลค่าของทรัพย์สินของ ETF เปลี่ยนไป ราคาก็จะเพิ่มหรือลดตามมูลค่าด้วย
6. อสังหาริมทรัพย์
- อสังหาริมทรัพย์ เป็นสินทรัพย์ที่จับต้องได้ เช่น บ้าน ที่ดิน คอนโด อพาร์ทเม้นต์
- อสังหาริมทรัพย์อาจเป็นการลงทุนที่ดีในการสร้างรายได้หรือเพื่อการเพิ่มมูลค่าในระยะยาว จากการขายเพื่อเอากำไร และจากการให้เช่า
- การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องต่ำและอาจขายออกได้ยากในเวลาอันสั้น
- และไม่ใช้นักลงทุนทุกคนที่จะมีทุนเพียงพอที่จะลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ เพราะใช้เงินทุนค่อนข้างสูง
7. กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT)
- ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) คือเครื่องมือที่ใช้สำหรับระดมทุนจากนักลงทุน เพื่อนำไปใช้ในการซื้อหรือพัฒนาโครงการใหม่
- นักลงทุนจะได้รับประโยชน์จากการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ โดยที่ไม่ต้องใช้เงินทุนสูงเหมือนกับการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์โดยตรง
- REIT มีผู้บริหารจัดการเงินลงทุนโดยผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ด้วย
- นักลงทุนสามารถลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ได้หลายประเภท ทั่งในประเทศและต่างประเทศ และยังสามารถกู้ยืมเงินเพื่อนำมาลงทุนได้ด้วย
- นักลงทุนที่ต้องการความมั่นคงระยะยาว และต้องการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน การลงทุนใน REIT เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่มากขึ้น
8. ทองคำ
- นักลงทุนส่วนใหญ่มองว่าทองคำเป็นการลงทุนที่ปลอดภัย โดยเฉพาะในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอย ภาวะเงินฝืด และภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ แม้ว่าหุ้นจะตกต่ำในช่วงเวลาดังกล่าว แต่ทองคำกลับทรงตัวได้ดี
- อีกอย่างทองคำยังถูกมองว่าเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ นักลงทุนจึงนิยมสะสมทองคำแทนที่จะสะสมเงินสด
- ด้วยเหตุนี้ นักลงทุนจึงนิยมลงทุนในทองคำเพื่อกระจายพอร์ตการลงทุนและลดความเสี่ยงความผันผวนจากการลงทุน
- การลงทุนในทองคำอาจต้องใช้เงินทุนสูง หากต้องการผลตอบแทนที่สูง
9. สกุลเงินดิจิทัล
- สกุลเงินดิจิทัล หรือ คริปโทเคอร์เรนซี เป็นสินทรัพย์เพื่อการลงทุนที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน
- สกุลเงินดิจิทัลที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดคือ Bitcoin (BTC), Ethereum (ETH) และ Solana (SOL)
- การลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลมีความเสี่ยง เนื่องจากราคามีความผันผวนสูง
- นอกจากนี้ สินทรัพย์เหล่านี้ยังไม่มีการควบคุมเหมือนกับสินทรัพย์ประเภทอื่น เช่น หุ้นและพันธบัตร
- คุณสามารถสร้างรายได้จากสกุลเงินดิจิทัลโดยการซื้อมาขายไป หรือการเทรด (เทรดระยะสั้น เทรดระยะกลาง และเทรดระยะยาว) อีกหนึ่งวิธีก็คือการซื้อและถือไว้ ซึ่งเป็นวิธีที่ง่าย จากนั้นก็รอขายในช่วงที่ราคาเพิ่มสูงขึ้น
- การลงทุนในสกุลเงินดิจิทัล มีความเสี่ยงที่สูง แต่ก็มีศักยภาพในการได้รับผลตอบแทนที่สูงเช่นกัน (อาจเพิ่มขึ้นเป็น 100 เท่าของเงินทุนภายในเวลาไม่กี่เดือน)
10. ธุรกิจเงินร่วมลงทุน
- ธุรกิจเงินร่วมลงทุน (Venture Capital) หรือที่เรียกกันว่า VC เป็นธุรกิจที่เน้นการลงทุนกับบริษัทสตาร์ตอัพ (Startup) หรือธุรกิจเอสเอ็มอี ที่มีศักยภาพในการเติบโต โดยการให้เงินสนับสนุนกับธุรกิจเหล่านี้
- บริษัทสตาร์ทอัพที่คุณลงทุน อาจกลายเป็นบริษัทที่ให้ผลกำไรอย่างยอดเยี่ยม แต่ในขณะเดียวกันก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน
- การลงทุนในธุรกิจสตาร์ตอัพ คุณไม่สามารถดูผลงานในอดีตได้เลย ต่างจากการซื้อหุ้น ซึ่งนักลงทุนต้องฝากความหวังไว้กับศักยภาพของเจ้าของธุรกิจสตาร์ตอัพเท่านั้น
11. การเริ่มต้นธุรกิจ
- การเริ่มต้นธุรกิจด้วยตนเองก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่สามารถบรรลุอิสรภาพทางการเงินได้ หากคุณมีไอเดียธุรกิจที่ดี และมีการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ
- ข้อดีของการเริ่มต้นธุรกิจด้วยตนเองก็คือ คุณมีโอกาสที่จะสร้างรายได้มากกว่าการลงทุนในธุรกิจของคนอื่น
- แต่การเริ่มต้นธุรกิจด้วยตนเองทั้งหมด ก็ต้องยอมรับความเสี่ยงที่ตามมาด้วยเช่นกัน อาจจะต้องใช้เวลานานกว่าจะประสบความสำเร็จ และบางครั้งอาจล้มเหลวก็ได้ ขึ้นอยู่กับศักยภาพของตัวคุณเอง
12. บัญชีเงินฝากดอกเบี้ยสูง
- บัญชีเงินฝากดอกเบี้ยสูงจะคล้ายกับบัญชีออมทรัพย์ทั่วไป แต่ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า ผลตอบแทนที่สูงขึ้นเหล่านี้สามารถช่วยให้คุณเพิ่มเงินในบัญชีได้เร็วขึ้น
- ข้อดีคือบัญชีเงินฝากดอกเบี้ยสูงมีความเสี่ยงน้อย และบัญชีเหล่านี้ก็ได้รับการคุ้มครองจากธนาคารด้วย และได้ผลตอบแทนค่อนข้างต่ำ เมื่อเทียบกับการลงทุนประเภทอื่น
- หากอัตราดอกเบี้ยของบัญชีเงินฝากดอกเบี้ยสูงต่ำเกินไป คุณก็อาจพ่ายแพ้ให้กับอัตราเงินเฟ้อก็ได้ นั่นหมายความว่าผลตอบแทนที่เราคาดหวัง อาจจจะลดลงเรื่อยๆ
13. อนุพันธ์
- อนุพันธ์คือ เป็นสัญญาการซื้อขายที่อ้างอิงกับสินทรัพย์หลากหลายประเภท เช่น หุ้น พันธบัตร และสินค้าโภคภัณฑ์
- ประเภทของตราสารอนุพันธ์จะแบ่งออกทั้งหมดได้ 4 ประเภทคือ Forward (ฟอร์เวิร์ด), Futures (ฟิวเจอร์ส), Swap (สวอป) และ Option (ออปชั่น)
- อนุพันธ์สามารถนำมาใช้เพื่อเก็งกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาที่เพิ่มขึ้นในอนาคตได้
- การลงทุนในอนุพันธ์เป็นสินทรัพย์การลงทุนที่มีความซับซ้อนและมีความเสี่ยง ดังนั้น อนุพันธ์จึงอาจไม่เหมาะสำหรับนักลงทุนรายย่อยทั่วไป
14. สินค้าโภคภัณฑ์
- สินค้าโภคภัณฑ์คือผลิตภัณฑ์ที่จับต้องได้ซึ่งคุณสามารถลงทุนได้ แบ่งเป็น 4 ประเภทดังนี้คือ
- โลหะ : โลหะมีค่า (ทองคำและเงิน) และโลหะอุตสาหกรรม (ทองแดง)
- ผลิตภัณฑ์การเกษตร : ข้าวสาลี ข้าวโพด และถั่วเหลือง
- ปศุสัตว์ : หมูสามชั้น และวัวขุน
- พลังงาน : น้ำมันดิบ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม และก๊าซธรรมชาติ
- สินค้าโภคภัณฑ์มีความเสี่ยงมีการเคลื่อนไหวของราคาอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในตอนที่มีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหัน
- ตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ทางการเมืองอาจเปลี่ยนแปลงมูลค่าของสินค้าบางอย่าง เช่น น้ำมันได้อย่างมาก ในขณะที่สภาพอากาศอาจส่งผลกระทบต่อมูลค่าของผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร
- นักลงทุนที่จะลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ จะต้องมีความเชี่ยวชาญและรอบรู้เกี่ยวกับสินค้าที่ต้องการลงทุนเท่านั้น
15.กองทุนรวมดัชนี
- กองทุนรวมดัชนี เป็นกองทุนรวมประเภทหนึ่งที่มีนโยบายในการลงทุนในหลักทรัพย์ ได้แก่ ดัชนี SET50 Index, SET100 Index
- กองทุนดัชนี มีเป้าหมายที่จะรักษาผลตอบแทนจากการลงทุนให้อยู่ในระดับเดียวกับดัชนีอ้างอิง เป็นลักษณะการลงทุนเชิงตั้งรับ ซึ่งต่างจากกองทุนรวมที่บริหารจัดการแบบเชิงรุก ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อเอาชนะตลาด
- ข้อดีของกองทุนรวมดัชนีคือ มีแนวโน้มที่จะมีประสิทธิภาพดีกว่ากองทุนที่บริหารจัดการเชิงรุกและมีค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่า
- ข้อเสียคือ กองทุนดัชนีได้รับการออกแบบมาเพื่อให้มีความเท่าทันตลาดอยู่เสมอ ฉะนั้นพอร์ตการลงทุนของคุณจึงอาจเกิดความผันผวนอย่างมาก
- หากคุณไม่พร้อมที่จะเฝ้าดูความผันผวนของตลาดหุ้น กองทุนรวมดัชนีอาจไม่เหมาะกับคุณ
วิธีการเลือกการลงทุนที่ดีที่สุด
การลงทุนที่ดีที่สุดในตอนนี้จะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับสถานการณ์เฉพาะของแต่ละท่าน และในขณะที่คุณพิจารณาตัวเลือกการลงทุนของคุณ ให้พิจารณาเงื่อนไขเหล่านี้ด้วยเสมอ ได้แก่
1.เป้าหมายทางการเงินอื่น ๆ
- ก่อนที่คุณจะเริ่มลงทุน ลองนึกถึงลำดับความสำคัญทางการเงินของคุณก่อน ว่ามีเป้าหมายอะไร เช่น การสร้างกองทุนฉุกเฉิน ต้องการดาวน์บ้าน ต้องการซื้อรถใหม่ เป็นต้น
2.การยอมรับความเสี่ยง
- การลงทุนทุกประเภท ล้วนมีความเสี่ยงทั้งหมด การยอมรับความเสี่ยงที่มากขึ้นมักจะส่งผลให้มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้นตามไปด้วย
- แต่ถ้าคุณไม่พร้อมที่จะรับความเสี่ยงมากขึ้น คุณจะต้องยอมรับผลตอบแทนจากการลงทุนที่ลดลง
3.ระยะเวลาในการลงทุน
- หากคุณมีความประสงค์จะใช้ในระยะสั้นนั้นควรเก็บไว้ในรูปแบบการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ
- แต่ถ้าคุณมีแผนการลงทุนในระยะยาว การเลือกสินทรัพย์ที่มีความผันผวนมากขึ้นอาจช่วยให้คุณได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น
สรุปท้ายบท
ทั้งหมดนี้ก็เป็นแนวทางการลงทุน 15 ประเภท ที่เราอยากแนะนำทุกท่าน เพื่อเป็นไอเดียในการลงทุน หวังว่าทุกคนจะได้ประโยชน์ และสามารถเลือกสินทรัพย์ในการลงทุนได้ตอบโจทย์กับความต้องการ เมื่อเราเริ่มต้นด้วยการเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่ใช่ที่สุดสำหรับเรา โอกาสที่จะประสบความสำเร็จและมีอิสรภาพทางการเงิน ก็เป็นไปได้สูง
อย่างไรก็ตาม หากท่านใดที่รู้สึกว่ายังไม่มั่นใจ หรือมีประสบการณ์ในการลงทุนน้อย แนะนำว่าให้ลองปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนก่อน ซึ่งจะช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกลงทุนได้ง่ายขึ้น รวมทั้งทราบกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพในการจัดการอีกต่างหาก ที่จะช่วยให้คุณเข้ามีอิสรภาพทางการเงินอย่างที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้