การลงทุนแบบไหนความเสี่ยงต่ำ ปานกลาง สูง เปรียบเทียบการลงทุนด้านต่างๆ

mmm.in.th ย่อให้

  • การลงทุน คือการนำเงินทุนของเราไปลงทุนในทรัพย์สินต่างๆ เพื่อให้เกิดมูลค่าที่สูงขึ้นในอนาคต เช่น ลงทุนในหุ้น พันธบัตร และอสังหาริมทรัพย์
  • การลงทุนความเสี่ยงต่ำ ได้แก่ เงินฝาก พันธบัตรรัฐบาล และหุ้นกู้
  • การลงทุนความเสี่ยงปานกลาง ได้แก่ กองทุนรวม และทองคำ
  • การลงทุนความเสี่ยงสูง ได้แก่ หุ้น ของสะสม อสังหาริมทรัพย์ forex และคริปโตเคอเรนซี่
  • การจัดพอร์ตลงทุนต้องคำนึงถึงช่วงอายุของเรา และระดับความเสี่ยงที่เราสามารถยอมรับได้

การลงทุนคือช่องทางที่จะสร้างความมั่งคั่งในชีวิตได้ดีที่สุดและเร็วที่สุด ลำพังแค่การออมเงินอย่างเดียวไม่ได้ทำให้เรารวยได้ การลงทุนจึงเป็นทางเลือกสำหรับคนที่อยากจะรวยและสร้างความมั่นคงในชีวิต แต่ประเด็นก็อยู่ที่ว่าเราจะเลือกลงทุนอะไรดี อันนี้น่าคิด เพราะมีสินทรัพย์หลายประเภทให้เลือก ซึ่งสินทรัพย์แต่ละประเภทก็มีความเสี่ยงแตกต่างกันออกไป

เพราะฉะนั้นถ้าท่านใดที่กำลังประสบปัญหาในการเลือกลงทุน คือไม่รู้ว่าจะลงทุนกับอะไรดี วันนี้เราก็จะจำแนกระดับความเสี่ยงของการลงทุนประเภทต่างๆ ให้ทุกท่านได้มองเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้นและตัดสินใจได้รอบคอบยิ่งขึ้นว่าการลงทุนประเภทใดที่เหมาะกับเรามากที่สุด เพราะการลงทุนที่ดีคือการลงทุนที่เหมาะสมกับตัวเราเองไม่ใช่ไปเลือกตามคนอื่น

การลงทุน คืออะไร?

การลงทุน คือ การที่เรานำเงินลงทุนของเราไปลงทุนในทรัพย์สินประเภทต่างๆ ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มในอนาคตได้ เช่น การลงทุนใน หุ้น พันธบัตร อสังหาริมทรัพย์ และของสะสมของที่ระลึก ซึ่งจะแตกต่างจากการออมเงินตรงที่การลงทุนมุ่งเน้นไปที่ผลตอบแทนและการเติบโต ส่วนการออมเงินเป็นเพียงแค่การรักษามูลค่าเท่านั้น

จำแนกการลงทุนตามประเภทความเสี่ยง

เพื่อให้ทุกท่านมองเห็นภาพได้ง่ายขึ้น เราจะแบ่งประเภทความเสี่ยงของการลงทุนออกเป็น 3 รูปแบบก็คือ การลงทุนความเสี่ยงต่ำ การลงทุนความเสี่ยงปานกลาง และการลงทุนความเสี่ยงสูง

1.การลงทุนความเสี่ยงต่ำ

1.1) เงินฝาก

  • เป็นการฝากเงินไว้กับธนาคารเพื่อเพื่อเก็บเอาไว้ใช้ในยามจำเป็น เมื่อเวลาผ่านไปก็จะได้รับดอกเบี้ยจากธนาคาร
  • ข้อดีของการลงทุนด้วยเงินฝากคือมีความเสี่ยงต่ำ แต่ก็มาพร้อมกับผลตอบแทนที่ต่ำตามไปด้วย
  • การฝากเงินมีสภาพคล่องที่สูง เราสามารถถอนเงินสดออกไปใช้ได้ตลอดเวลา
ประเภทของเงินฝาก
  • เงินฝากออมทรัพย์ วิธีนี้จะได้ดอกเบี้ยค่อนข้างต่ำโดยจะจ่ายดอกเบี้ยปีละ 2 ครั้ง
  • เงินฝากดิจิทัล โดยรวมจะเหมือนกับเงินฝากออมทรัพย์ แต่จะแตกต่างจากเงินฝากออมทรัพย์ตรงที่เงินฝากดิจิทัลไม่มีสมุดบัญชีคู่ฝาก ลูกค้าต้องทำธุรกรรมผ่านแอปพลิเคชั่นของธนาคารเท่านั้น จุดเด่นคือได้ดอกเบี้ยสูงกว่าการฝากแบบออมทรัพย์

1.2) ตราสารหนี้ภาครัฐ (พันธบัตรรัฐบาล)

  • คือการที่รัฐบาลระดมทุนจากประชาชนและนักลงทุนทั่วไป โดยรัฐบาลจะมีสถานะเป็นลูกหนี้ (ผู้กู้) ส่วนนักลงทุนและประชาชนจะมีสถานะเป็นเจ้าหนี้ (ผู้ให้กู้)
  • การลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลจะได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนในบัญชีเงินฝาก แต่มีข้อเสียคือสภาพคล่องต่ำ
  • นักลงทุนจะได้รับเงินต้นคือพร้อมกับดอกเบี้ยประมาณปีละ 3%
ประเภทของพันธบัตรรัฐบาล
  • ตั๋วเงินคลัง เป็นพันธบัตรแบบระยะสั้นมีอายุตั้งแต่ 1 เดือน 3 เดือน 6 เดือน และ 1 ปี ใช้สำหรับบริหารเงินระยะสั้นของรัฐบาล
  • พันธบัตรรัฐบาลแบบอัตราดอกเบี้ยคงที่ เป็นพันธบัตรรัฐบาลแบบระยะยาว อายุตั้งแต่ 1 ปีถึง 50 ปี ใช้สำหรับระดมทุนเพื่อพัฒนาประเทศ
  • พันธบัตรออมทรัพย์ ใช้สำหรับส่งเสริมการออมเงินให้กับประชาชนทั่วไป
  • พันธบัตรรัฐบาลชดเชยเงินเฟ้อ เป็นตราสารหนี้ที่จะให้ผลตอบแทนตามการเปลี่ยนแปลงของอัตราเงินเฟ้อ
  • พันธบัตรรัฐบาลอัตราดอกเบี้ยลอยตัว ใช้สำหรับเป็นงบชดเชยการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาล

1.3) ตราสารหนี้ภาคเอกชน (หุ้นกู้)

  • คือสัญญาที่บริษัทเอกชนกู้ยืมเงินจากนักลงทุนโดยทางบริษัทจะออกเป็นตราสารหนี้ในการระดมทุนเพื่อใช้ในการดำเนินกิจการ
  • นักลงทุนจะมีสถานะเป็นเจ้าหนี้ (ผู้ถือตราสาร) ส่วนบริษัทเอกชนจะมีสถานะเป็นลูกหนี้ (ผู้ออกตราสาร)
  • บริษัทเอกชนมีหน้าต้องจ่ายเงินดอกเบี้ยและเงินต้นให้กับผู้ถือตราสารตามสัญญาที่ได้ระบุไว้
  • หุ้นกู้เอกชนจะได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินฝากและพันธบัตรรัฐบาล ส่วนเรื่องความเสี่ยงจะมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับบริษัทที่ออกตราสาร
  • ข้อเสียของหุ้นกู้คือมีสภาพคล่องต่ำตามระยะเวลาที่ระบุในสัญญา

2.การลงทุนความเสี่ยงปานกลาง

2.1) กองทุนรวม

  • คือ การระดมเงินทุนจากนักลงทุนหลายๆ มารวมกันเป็นกองใหญ่แล้วในไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เช่น หุ้น พันธบัตร และอสังหาริมทรัพย์โดยมีผู้จัดการกองทุนเป็นคนดูแลเงินลงทุน
  • กองทุนรวมมีหลายประเภทซึ่งจะเสี่ยงมากน้อยแตกต่างกันขึ้นอยู่กับนโยบายการลงทุนของกองทุนนั้นๆ
  • ระดับความเสี่ยงในกองทุนรวมแบ่งออกไปได้อีก 8 ระดับดังนี้ (1 = เสี่ยงต่ำสุด, 8 = เสี่ยงสูงสุด)
  • ระดับ 1 กองทุนรวมตลาดเงินในประเทศ
  • ระดับ 2 กองทุนรวมตลาดเงินทั้งในและต่างประเทศ
  • ระดับ 3 กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะกลาง-ยาว
  • ระดับ 4 คือ กองทุนรวมตราสารหนี้ที่มีการลงทุนในตราสารหนี้เอกชน
  • ระดับ 5 คือ กองทุนรวมผสม (Mixed Fund)
  • ระดับ 6 คือ กองทุนรวมตราสารทุน หรือ กองทุนรวมหุ้น
  • ระดับ 7 คือ กองทุนรวมหุ้นหมวดอุตสาหกรรม (Sector Fund)
  • ระดับ 8 คือ กองทุนรวมที่ลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก

2.2) ทองคำ

  • ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูงนักลงทุนนิยมลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยงของพอร์ตลงทุน
  • ราคาของทองมักมีราคาการเติบโตที่สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ การลงทุนในทองคำจึงช่วยป้องกันเงินเฟ้อได้ดีเพราะทองคำมักจะมีราคาที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจไม่แน่นอน
  • การลงทุนในทองคำสามารถลงทุนได้หลายแบบ ได้แก่ การซื้อทองคำแท่ง ทองรูปพรรณ หรือกองทุนทองคำ
  • นักลงทุนจะได้ผลตอบแทนจากราคาส่วนต่างตอนซื้อและตอนขายเท่านั้น ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงตามสภาพเศรษฐกิจ

3. การลงทุนความเสี่ยงสูง

3.1) หุ้น

  • คือการลงทุนที่แสดงถึงความเป็นเจ้าของในกิจการใดกิจการหนึ่ง โดยนักลงทุนจะเข้าไปซื้อหุ้นของกิจการนั้นๆ ส่วนจะมีสิทธิ์มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับจำนวนหุ้นที่ถือ
  • การลงทุนในหุ้นจะได้รับผลตอบแทนที่ค่อนข้างสูงแต่ความผันผวนก็สูงเช่นกัน เพราะราคามีการผันผวนตลอดเวลา
  • ผลตอบแทนของหุ้นจะมาในรูปแบบของ เงินปันผลจากกำไรของการดำเนินกิจการ และจากส่วนต่างราคาขายหุ้น คือการซื้อหุ้นมาในราคาต่ำแล้วขายในราคาสูง
  • นักลงทุนสามารถซื้อขายหุ้นได้โดยผ่านบัญชีบริษัทหลักทรัพย์
  • หุ้น เป็นอีกหนึ่งสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงสามารถซื้อขายได้ตลอดเวลาที่ตลาดหลักทรัพย์เปิด

3.2) ของสะสม

  • คือการลงทุนในของสะสม เช่น ภาพวาด รถยนต์หาที่ยาก และนาฬิกา ซึ่งราคาจะมากจะน้อยขึ้นอยู่กับความยากในการหาและความนิยม
  • ผลตอบแทนของของสะสมจะสูงหรือต่ำนั้นขึ้นอยู่กับความพอใจของผู้ซื้อและผู้ขาย และคุณค่าทางจิตใจ ยิ่งมีคุณค่าทางจิตใจสูงและหายากเท่าไหร่ราคาก็ยิ่งสูงมากเท่านั้น
  • การลงทุนในของสะสมจะได้รับความนิยมเฉพาะคนที่ชอบของสะสมแบบเดียวกันเท่านั้น ทำให้มีตลาดน้อยและสภาพคล่องค่อนข้างต่ำ

3.3) อสังหาริมทรัพย์

  • คือการลงทุนในสินทรัพย์ประเภท บ้าน ที่ดิน คอนโด ห้องเช่า และอพาร์ทเม้นต์โดยการปล่อยให้เช่าหรือซื้อขายเพื่อเอากำไร
  • การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์จะได้ผลตอบแทนมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับระยะเวลาและทำเลที่ตั้งของสถานที่
  • อสังหาริมทรัพย์มีราคาที่ไม่ผันผวนมากนักและจะมีราคาที่สูงขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป แต่ต้องใช้เงินลงทุนสูงและมีสภาพคล่องที่ต่ำ และการขายในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสมอาจจะทำให้ขาดทุนได้

3.4) คริปโตเคอเรนซี่

  • คือการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัล เช่น Bitcoin และ Ethereum และสกุลเงินอื่นๆ อีกมากมาย
  • สกุลเงินดิจิทัลได้รับความนิยมเฉพาะในกลุ่มบางกลุ่มเท่านั้นและบางประเทศก็ยังไม่ยอมรับอีกทั้งไม่มีกฎหมายคุ้มครองด้วย ทำให้นักลงทุนต้องแบกรับความเสี่ยงเองทั้งหมด
  • จุดเด่นที่เห็นได้ชัดเจนเลยก็คือราคาเพิ่มขึ้นค่อนข้างเร็ว ทำให้ได้กำไรเร็วสามารถลงทุนได้ทั้งการถือครองระยะสั้นและการถือครองระยะยาว
  • ข้อเสียของสกุลเงินดิจิทัลคือ ราคาของสกุลเงินผันผวนตามความต้องการซึ่งมีการผันผวนค่อนข้างสูง

3.5) Forex

  • คือการลงทุนในสกุลเงินต่างประเทศ โดยนักลงทุนจะได้ผลตอบแทนจากส่วนต่างของอัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงิน
  • ปัจจุบันมีคู่เงินให้ลงทุนมากกว่า 50 ประเภท แต่คู่สกุลเงินที่ได้รับความนิยมที่สุดและมีสภาพคล่องสูงสุดคือ EUR/USD, USD/JPY หรือ GBP/USD
  • การซื้อขายสกุลเงินสามารถซื้อขายได้ตลอด 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์
  • ความเสี่ยงของการลงทุนในคู่สกุลเงินก็คือมีความผันผวนตลอดเวลาตามสภาพเศรษฐกิจ นโยบายของธนาคารกลางและเหตุการณ์ทางการเมือง นักลงทุนจะต้องคอยติดตามข่าวสารเหล่านี้อย่างใกล้ชิด

ตารางสรุปการเปรียบเทียบการลงทุนในด้านต่างๆ

จัดพอร์ตลงทุนต้องพิจารณาอะไรบ้าง?

“อย่าใส่ไข่ในตะกร้าใบเดียว” เพราะหากตะกร้าตกไข่จะแตกเสียหายทั้งหมด การลงทุนก็เช่นเดียว เราจะไม่ลงทุนไปที่สินทรัพย์ประเภทใดประเภทหนึ่งเพียงอย่างเดียว เพราะเสี่ยงเกินไป การจัดพอร์ตลงทุนจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อกระจายความเสี่ยงไปยังทรัพย์สินประเภทต่างๆ และสิ่งที่เราต้องพิจารณาในการจัดพอร์ตลงทุน ได้แก่

1.ช่วงอายุของนักลงทุน

เนื่องจากช่วงอายุในแต่ละช่วงมีความเสี่ยงและความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน รับความเสี่ยงได้มากน้อยต่างกัน ดังนั้นการจัดพอร์ตลงทุนเราต้องคำนึงถึงอายุด้วย วิธีการจัดพอร์ตตามช่วงอายุ มีดังต่อไปนี้

ช่วงอายุ 20+ (วัยเริ่มต้นทำงาน)

  • ช่วงนี้ยังไม่มีภาระรับผิดชอบมากนัก ให้เน้นไปที่การออมเงินและการลงทุนให้มากที่สุด สามารถที่จะรับมือกับความเสี่ยงสูงได้
  • วัยนี้ควรเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น หุ้นหรือกองทุนรวมหุ้น 90% และอีก 10% สำหรับเก็บออม
  • ที่สำคัญต้องไม่ลืมออมเงินสำรองเอาไว้ใช้ตอนฉุกเฉินเพื่อรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดคิด

ช่วงอายุ 30+ (วัยเริ่มสร้างครอบครัว)

  • วัยนี้เริ่มมีหน้าที่การงานมั่นคงพร้อมที่จะสร้างครอบครัว ทำให้มีภาระค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น ไม่ควรลงทุนเกิน 50% ให้เน้นลงทุนไปที่กองทุนรวม และแบ่งเก็บเอาไว้สำหรับตอนฉุกเฉินด้วย

ช่วงอายุ 40+ (มีความมั่นคงในชีวิต)

  • เป็นวัยที่เริ่มมีความมั่นคงในชีวิต แต่ยังมีภาระเยอะอยู่ เน้นลงทุนระยะยาว 30% ส่วนอีก 70% ลงทุนในประกันบำนาญและกองทุนรวมประเภท LTF และ RMF

ช่วงอายุ 50+ (วัยใกล้เกษียณ)

  • วัยนี้บางท่านอาจจะไม่มีรายได้จากการทำงานแล้ว ดังนั้นควรลงทุนไม่เกิน 10% ส่วนอีก 90% เน้นไปที่การสร้างรายได้ที่มีความเสี่ยงต่ำเพื่อป้องกันการขาดทุน

ช่วงอายุ 60+ (วัยหลังเกษียณ)

  • วัยนี้เป็นช่วงนี้ต้องไม่มีความกังวลในเรื่องการเงินอีกแล้ว และควรหาความสุขจากดอกผลการลงทุนที่ได้สร้างเอาไว้

2.ระดับความเสี่ยงที่สามารถยอมรับได้

ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่เราต้องนำมาพิจารณา เพราะแต่ละท่านชื่นชอบการลงทุนที่ไม่เหมือนกันและรับความเสี่ยงได้มากน้อยแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับ เงินลงทุน ประสบการณ์ และอายุ ซึ่งแบ่งเป็น 3 ประเภทคือ

พอร์ตระมัดระวัง

  • เน้นลงทุนในทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงในระดับต่ำ-ระดับปานกลาง เช่น กองทุนรวม เงินฝาก และตราสารหนี้ ซึ่งการจัดพอร์มตแบบนี้ไม่ต้องการให้ตนเองเสียเงินลงทุนและไม่ได้คาดหวังว่าจะได้ผลตอบแทนที่สูงมาก เหมาะกับคนที่อยู่ในวัยใกล้เกษียณ

พอร์ตสมดุล

  • เป็นพอร์ตที่สามารถรับความเสี่ยงในระดับปานกลางได้ นิยมลงทุนใน ตราสารหนี้ หุ้นกู้ โดยการกระจายเงินลงทุนไปยังทรัพย์สินต่างๆ ใกล้เคียงกัน เพื่อรับผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ เหมาะกับคนที่อยู่ในวัยสร้างครอบครัว

พอร์ตเชิงรุก

  • เป็นพอร์ตที่สามารถรับความเสี่ยงสูงได้ จึงเน้นลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงสูง เช่น กองทุนรวมหุ้น หุ้นสามัญ เพื่อรับผลตอบแทนจากการลงทุนครั้งละมากๆ และมีโอกาสเติบโตสูง เหมาะกับคนที่อยู่ในวัยเริ่มต้นทำงาน

แนวทางการจัดพอร์ตลงทุนให้เราดูความเหมาะสมของตัวเราเองเป็นหลัก ไม่จำเป็นต้องลงทุนตามคนอื่นเสมอ เพราะแต่ละคนรับความเสี่ยงได้ไม่เท่ากัน ให้ดูคนอื่นเพื่อเป็นแนวทางในการจัดพอร์ตของเราเท่านั้นก็พอ

สรุปท้ายบท

ตอนนี้เราก็ได้เห็นความแตกต่างการลงทุนแต่ละประเภทแล้วว่ามีความเสี่ยงอยู่ในระดับใด การลงทุนประเภทใดที่เหมาะกับเรา หวังว่าคนที่กำลังวางแผนลงทุนอยู่จะตัดสินใจเลือกลงทุนได้อย่างรอบคอบมากขึ้น โดยการจัดพอร์ตลงทุนให้เหมาะกับตนเอง ถ้าเราจัดพอร์ตได้ดีตั้งแต่เริ่มต้น โอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนก็สูงตามไปด้วย

แหล่งอ้างอิง

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *